วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

Arab lsraeli War 1948 – 1982

Arab lsraeli War 1948 – 1982


WARS อาหรับอิสราเอล (1948-1982)
There have been five major wars between Israelis and Arabs.             มีห้าสงครามที่สำคัญระหว่างอิสราเอลและชาวอาหรับ While differing in immediate causes, objectives, and impact, each was rooted in the comparatively recent conflict between Jews and Arabs over Palestine. ในขณะที่แตกต่างกันในการทำให้เกิดทันทีวัตถุประสงค์และผลกระทบแต่ละที่หยั่งรากลึกในความขัดแย้งที่ผ่านมาเปรียบเทียบระหว่างชาวยิวและชาวอาหรับปาเลสไตน์ In 1917, the British government pledged to facilitate establishment of a "Jewish national home" in Palestine, and during Britain's Mandate over Palestine (1922-1948) immigration increased the Jewish presence from less than 10 percent of the population in 1918 to one-third by 1947. ในปี 1917 รัฐบาลอังกฤษไว้เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดตั้ง "บ้านยิวแห่งชาติ" ในปาเลสไตน์และในระหว่างอาณัติของอังกฤษปาเลสไตน์ (1922-1948) ตรวจคนเข้าเมืองเพิ่มขึ้นชาวยิวจากน้อยกว่าร้อยละ 10 ของประชากรในปี 1918 หนึ่งในสาม โดย 1947 Overwhelming Arab opposition spiraled into rebellion during the late 1930s, prompting Britain to declare in 1939 that it was not part of Mandate policy that Palestine should become a Jewish state. ความขัดแย้งอาหรับล้นหลามลุกลามเข้าไปในการก่อจลาจลในช่วงปลาย 1930s กระตุ้นอังกฤษที่จะประกาศใน 1939 ว่ามันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของนโยบายอาณัติของปาเลสไตน์ที่จะกลายเป็นรัฐยิว However, in November 1947, the UN General Assembly recommended partition of Palestine into a Jewish state on 54 percent of mandated territory and an Arab state on 45 percent, with Jerusalem under UN administration. แต่ในเดือนพฤศจิกายนปี 1947 ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติแนะนำพาร์ทิชันของปาเลสไตน์เป็นรัฐของชาวยิวที่ร้อยละ 54 ของดินแดนในอาณัติและรัฐอาหรับร้อยละ 45 โดยมีกรุงเยรูซาเล็มภายใต้การบริหารงานของสหประชาชาติ Publicly, most Zionists agreed to this compromise but the Arab countries were opposed, declaring the resolution to be a violation of self-determination. สาธารณชนส่วนใหญ่ไซโอนิสตกลงที่จะประนีประนอมนี้ แต่ประเทศอาหรับเป็นศัตรูประกาศมติที่จะละเมิดการตัดสินใจด้วยตนเอง Fighting immediately broke out among the Palestinian Arabs and Jews, and when British forces evacuated in mid-May 1948. ปโพล่งออกมาทันทีในหมู่ชาวอาหรับปาเลสไตน์และชาวยิวและเมื่อกองทัพอังกฤษอพยพในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 1948 the better equipped and more numerous Jewish forces established a clear superiority, capturing territory assigned to the proposed Arab state. ดีกว่าที่มีอุปกรณ์ครบครันและอีกหลายกองกำลังชาวยิวที่จัดตั้งขึ้นที่เหนือกว่าชัดเจนจับในดินแดนที่กำหนดให้รัฐอาหรับที่นำเสนอ Civilians on both sides were targeted, but massacres like that at the Arab village of Deir Yassin in April by Jewish irregulars precipitated a widespread exodus of Arabs from their homes and villages. พลเรือนทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมาย แต่การสังหารหมู่เช่นเดียวกับที่หมู่บ้านอาหรับ Deir ยัสในเดือนเมษายนโดยประจำการตกตะกอนของชาวยิวอพยพอย่างกว้างขวางของชาวอาหรับจากบ้านและหมู่บ้านของพวกเขา

               เมื่อ 15 พฤษภาคม 1948, วันหลังจากการก่อตัวอย่างเป็นทางการของอิสราเอลได้ประกาศกองกำลังจากอียิปต์, ซีเรีย, เลบานอนจอร์แดนและอิรักเข้ามาในการต่อสู้ในการสนับสนุนของชาวอาหรับปาเลสไตน์ Despite population differences, Israelis placed more soldiers in the field, and had the advantage of working in familiar terrain under unified control. อย่างไรก็ตามความแตกต่างของประชากรอิสราเอลวางทหารในสนามและมีข้อได้เปรียบของการทำงานในพื้นที่ที่คุ้นเคยภายใต้การควบคุมแบบครบวงจร UN-sponsored truces in the summer provided belligerents the opportunity to rearm, while the UN mediator. truces สหประชาชาติเป็นผู้สนับสนุนในช่วงฤดู​​ร้อนที่มีให้คู่สงครามโอกาสที่จะติดอาวุธใหม่ในขณะที่คนกลางสหประชาชาติ Count Folke Bernadotte of Sweden, recommended immediate repatriation of the Arab refugees as a condition for any just and lasting peace. นับ Folke เบอร์นาดอแห่งสวีเดนเอื่อยเฉื่อยทันทีแนะนำของผู้ลี้ภัยชาวอาหรับเป็นเงื่อนไขเพื่อความสงบสุขและยาวนานเพียงใด His assassination in September by members of the Jewish underground was followed by renewed fighting in October, which lasted until early 1949. การลอบสังหารในเดือนกันยายนโดยสมาชิกของใต้ดินของชาวยิวของเขาตามมาด้วยการต่อสู้ใหม่ในเดือนตุลาคมซึ่งกินเวลาจนถึงช่วงต้นปี 1949 When the last armistice was signed in July, the Israel Defense Forces (IDF) occupied over 77 percent of mandated Palestine, including West Jerusalem and Galilee, and it was only the intervention of Arab armies that prevented all of mandated Palestine from coming under Jewish control. เมื่อศึกล่าสุดได้ลงนามในเดือนกรกฎาคมกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ครอบครองเกินกว่าร้อยละ 77 ในอาณัติปาเลสไตน์รวมทั้งเวเยรูซาเล็มและแคว้นกาลิลีและมันก็เป็นเพียงการแทรกแซงของกองทัพอาหรับที่จะป้องกันไม่ทั้งหมดที่อยู่ในอาณัติของปาเลสไตน์มาจากภายใต้การควบคุมของชาวยิว . The remainder was occupied by Jordan (West Bank and East Jerusalem) and Egypt (Gaza Strip). ส่วนที่เหลือจะถูกครอบครองโดยจอร์แดน (ฝั่งตะวันตกและเยรูซาเล็มตะวันออก) และอียิปต์ (ฉนวนกาซา) Palestinian Arabs were not permitted to establish a state and over 800,000 became refugees through flight or expulsion. อาหรับปาเลสไตน์ไม่ได้รับอนุญาตในการสร้างรัฐและ 800,000 กลายเป็นผู้ลี้ภัยที่ผ่านการบินหรือการขับไล่ Chances for peace in 1949 were lost when Israel refused Arab demands for withdrawal to the partition plan boundaries and the return of refugees. โอกาสเพื่อสันติภาพในปี 1949 ถูกกลืนหายไปเมื่ออิสราเอลปฏิเสธที่จะตอบสนองความต้องการอาหรับสำหรับการถอนเงินในขอบเขตวางแผนพาร์ทิชันและการกลับมาของผู้ลี้ภัย

     ความพ่ายแพ้ของกองกำลังอาหรับโดยรัฐยิวที่พึ่งส่งเสริมการเคลื่อนไหวของการปฏิวัติในโลกอาหรับสะดุดตาในอียิปต์ซึ่งกามาลอับดุลนัสเซอร์ naser สันนิษฐานว่าอำนาจในการ

1952.    1952 His pan-Arab nationalism caused concern in Western capitals. ชาตินิยมแพนอาหรับของเขาทำให้เกิดความกังวลในเมืองหลวงตะวันตก When Egypt nationalized the Suez Canal in July 1956, leaders in Britain and France plotted his overthrow, envisioning a joint invasion with Israel, whose Prime Minister, David Ben- Gurion, believed Arab countries would make peace only by recognizing Israel's military superiority. เมื่ออียิปต์ของกลางคลองสุเอซในเดือนกรกฎาคมปี 1956 ผู้นำในอังกฤษและฝรั่งเศสวางแผนโค่นล้มเขาวาดภาพการบุกร่วมกับอิสราเอลซึ่งนายกรัฐมนตรีเดวิดเบนกูเรียนเชื่อว่าประเทศอาหรับจะทำให้ความสงบสุขโดยเฉพาะการตระหนักถึงความเหนือกว่าทางทหารของอิสราเอล Cross-border incursions by Arab Fedayeen into Israeli settlements and Israel's attacks on Arab villagers, and especially on Egyptian military outposts in Gaza in 1955, had already raised tensions between the two countries. การรุกรานข้ามพรมแดนโดย Fedayeen อาหรับในอิสราเอลตั้งถิ่นฐานและการโจมตีของอิสราเอลเมื่อชาวอาหรับและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนายทวารทหารอียิปต์ในฉนวนกาซาในปี 1955 ได้ยกแล้วความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศ But it was Egypt's military build-up, its blockade of the Straits of Tiran leading into the Gulf of Aqaba, and Nasser's promise of victory that prompted Israel's invasion of the Sinai peninsula on October 29, แต่มันก็เป็นทหารของอียิปต์สร้างขึ้นปิดล้อมของช่องแคบ Tiran นำลงสู่อ่าวตูนและสัญญาของนัสแห่งชัยชนะที่ได้รับแจ้งการรุกรานของอิสราเอลคาบสมุทรไซนายเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม
1956. 1956 As British planes bombed Egyptian airfields, Nasser pulled his troops from the Sinai, allowing the IDF to occupy most of the peninsula by November 3. ในฐานะที่เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดอังกฤษ airfields อียิปต์, นัสดึงทหารของเขาจากนายช่วยให้ IDF ที่จะครอบครองมากที่สุดของคาบสมุทรโดย 3 พฤศจิกายน British and French forces intervened in the Canal Zone but failed to bring about Nasser's ouster. กองกำลังอังกฤษและฝรั่งเศสเข้าแทรกแซงในเขตคลอง แต่ล้มเหลวที่จะทำให้เกิดการขับไล่ของนัส A UN-sponsored ceasefire was achieved by November 8. รบของสหประชาชาติเป็นผู้สนับสนุนก็ประสบความสำเร็จโดย 8 พฤศจิกายน

Most Security Council members joined Arab countries in condemning the invasion.          สมาชิกส่วนใหญ่เข้าร่วมคณะมนตรีความมั่นคงในประเทศอาหรับประณามการบุก Fearful that the Soviets might use it as a means of gaining influence in the Arab world, the Eisenhower administration pressured Israel to remove its forces from Egyptian territory, but stipulated that the Gulf of Aqaba remain open to Israeli ships and UN troops be stationed in the Sinai and Gaza Strip to prevent Fedayeen incursions. กลัวว่าโซเวียตอาจจะใช้มันเป็นวิธีการที่ได้รับอิทธิพลในโลกอาหรับ, ไอเซนฮาวการบริหารกดดันอิสราเอลจะเอากองกำลังจากดินแดนอียิปต์ แต่ระบุว่าอ่าว Aqaba ยังคงเปิดให้เรืออิสราเอลและกองกำลังของสหประชาชาติจะประจำการอยู่ใน นายและฉนวนกาซาเพื่อป้องกันการรุกราน Fedayeen After the IDF withdrew in early 1957 the border was quiet for almost a decade. หลังจาก IDF ถอนตัวออกในช่วงต้นปี 1957 ชายแดนเป็นที่เงียบสงบสำหรับเกือบหนึ่งทศวรรษ

       นัสแก้ปัญหาในการเผชิญกับการรุกรานของแองโกลฝรั่งเศส lsraeli เพิ่มศักดิ์ศรีของเขาในโลกอาหรับ As the Soviets rebuilt Egypt's military, he intensified his rhetoric: Israel is an alien presence in the midst of Arab territory created and sustained by Western imperialism, and Palestine can be liberated only through a unified Arab front. ในขณะที่โซเวียตสร้างทางทหารของอียิปต์เขารุนแรงสำนวนของเขาอิสราเอลเป็นมนุษย์ต่างดาวในท่ามกลางดินแดนอาหรับสร้างขึ้นและยั่งยืนโดยจักรวรรดินิยมตะวันตกและปาเลสไตน์สามารถปลดปล่อยเพียงผ่านด้านหน้าอาหรับปึกแผ่น His 1966 defense pact with Syria preceded Israeli-Syrian clashes in a demilitarized zone in the spring of 1967. ข้อตกลงของจำเ​​ลย 1966 กับซีเรียนำองค์กรอิสราเอลซีเรียในเขตปลอดทหารในฤดูใบไม้ผลิของปี 1967 Responding to reports of an Israeli military build-up in its north, Nasser reimposed a blockade of the Gulf of Aqaba, replaced UN troops in the Sinai with two divisions of Egyptian soldiers, and concluded a defense treaty with Jordan in late May, providing Israel with a casus belli. การตอบสนองต่อรายงานของทหารอิสราเอลสร้างขึ้นในออกเฉียงเหนือ, นัส reimposed ด่านของอ่าว Aqaba, แทนที่กองกำลังสหประชาชาติในนายกับทั้งสองฝ่ายของทหารอียิปต์และได้ข้อสรุปสนธิสัญญาป้องกันกับจอร์แดนในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมให้อิสราเอล ด้วยเหตุพอเพียง He underestimated Israel's military capability and did not anticipate its attack on June 5, which destroyed Egypt's air force and routed the exposed Egyptian forces in the Sinai, most of which it captured within three days. เขาประเมินความสามารถทางทหารของอิสราเอลและไม่ได้คาดว่าจะมีการโจมตีเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนซึ่งทำลายกองทัพอากาศของอียิปต์และส่งกองกำลังเผชิญในอียิปต์นายซึ่งส่วนใหญ่จับมันภายในสามวัน After fighting broke out in Jerusalem, Israel quickly overpowered the light Jordanian forces, occupying East Jerusalem and the West Bank by June 8. หลังจากการต่อสู้ที่โพล่งออกมาในเยรูซาเล็ม, อิสราเอลอย่างรวดเร็วสู้กองกำลังจอร์แดนแสงครอบครองกรุงเยรูซาเล็มตะวันออกและฝั่งตะวันตกโดย 8 มิถุนายน The same day an American reconnaissance ship was hit by Israeli bombs and torpedos that killed thirty-four American sailors. วันเดียวกันเรือลาดตระเวนอเมริกันถูกยิงด้วยระเบิดอิสราเอลและ torpedos ที่ฆ่าลูกเรืออเมริกันสามสิบสี่ Israel claimed mistaken identification, but officers on board claimed that Israel's attack was a deliberate attempt to conceal its operations against Syria. อิสราเอลอ้างว่าประชาชนเข้าใจผิด แต่เจ้าหน้าที่ในคณะกรรมการอ้างว่าการโจมตีของอิสราเอลเป็นความพยายามโดยเจตนาที่จะปกปิดการดำเนินงานต่อต้านซีเรีย After another three-day offensive, Israel captured the Golan Heights and a ceasefire with Syria went into effect on June 11. หลังจากนั้นอีกเป็นที่น่ารังเกียจสามวัน, อิสราเอลจับไฮโกลานและรบกับซีเรียมีผลบังคับใช้ 11 มิถุนายน The defeat of the combined Arab forces was devastating, with over 15,000 Arab soldiers killed?perhaps many more?compared to Israel's loss of 750. ความพ่ายแพ้ของกองกำลังอาหรับรวมทำลายล้างมีกว่า 15,000 ทหารอาหรับฆ่าบางทีอื่น ๆ อีกมากมาย? เมื่อเทียบกับการสูญเสียของอิสราเอล 750

The Israeli victory was hailed in the Western world since Nasser was viewed as pro- Soviet and Israel had skillfully portrayed the Arabs as aggressors who forced its preemptive action.          ชัยชนะของอิสราเอลถูกยกย่องในโลกตะวันตกตั้งแต่นัสถูกมองว่าเป็นโปรโซเวียตและอิสราเอลได้ภาพที่ชำนาญชาวอาหรับเป็นผู้รุกรานที่บังคับให้ดำเนินมาตรการของ Its real victory was not its damage to Arab military capacity?this was quickly restored with Soviet assistance?but capture of territory later used for political and economic ends, a public relations bonanza bringing increased Western support and Jewish immigration, and defeat of a popular brand of Arab nationalism, a powerful ideological adversary. ชัยชนะที่แท้จริงของมันคือไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับความจุทหารอาหรับ? นี้ได้รับการบูรณะอย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือของสหภาพโซเวียต? แต่จับภาพของดินแดนนำมาใช้สำหรับปลายทางการเมืองและเศรษฐกิจ, โบนันซ่าประชาสัมพันธ์นำการสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นทางทิศตะวันตกและชาวยิวอพยพและความพ่ายแพ้ของแบรนด์ยอดนิยม ของลัทธิชาตินิยมอาหรับศัตรูอุดมการณ์ที่มีประสิทธิภาพ But there is little to support the charge that Nasser was preparing an invasion that justified Israel's strike. แต่มีเพียงเล็กน้อยที่จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายที่นัสกำลังเตรียมบุกโจมตีที่เป็นธรรมของอิสราเอลคือ US intelligence reports to Israelis in late May indicated that Egypt had no plans for attack and that Israel would prevail in any case, an assessment subsequently confirmed by Israeli chief of staff, Yitzhak Rabin. รายงานข่าวกรองสหรัฐไปยังอิสราเอลในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมระบุว่าอียิปต์ไม่มีแผนสำหรับการโจมตีและว่าอิสราเอลจะเหนือกว่าในกรณีใดการประเมินได้รับการยืนยันในภายหลังโดยหัวหน้าของเจ้าหน้าที่อิสราเอลยิสราบิน

             แม้ว่าคณะมนตรีความมั่นคงมติ 242 (November 1967) เรียกว่าสำหรับการรับรู้ร่วมกันของทุกรัฐในภูมิภาคและอิสราเอลถอนตัวจากดินแดนที่ถูกยึดครองประเทศอาหรับเขาไม่เต็มใจที่จะเจรจากับอิสราเอลหลังจากความพ่ายแพ้อย่างน่าอับอาย Hostilities continued in a war of attrition, particularly between Israel and Egypt during the early 1970s. สงครามยังคงอยู่ในสงครามแห่งการล้างผลาญโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างอิสราเอลและอียิปต์ในช่วงต้นปี 1970 Nasser's successor, Anwar Sadat, planned another war, not to destroy Israel?Western powers would not allow that?but to secure a more balanced treatment from the Americans. ตัวตายตัวแทนของนัส, อันวาร์ซาดัตวางแผนสงครามอีกไม่ได้ที่จะทำลายอิสราเอลมหาอำนาจตะวันตกจะไม่ยอมให้ว่า แต่เพื่อรักษาความปลอดภัยการรักษาสมดุลมากขึ้นจากชาวอเมริกัน On October 6, 1973. เมื่อ 6 ตุลาคม 1973 Egyptian and Syrian forces surprised the Israeli army in the Sinai and Golan Heights. กองกำลังอียิปต์และซีเรียแปลกใจที่กองทัพอิสราเอลในไซนายและสูงโกลาน After initial Arab successes, the IDF halted the Syrian advance by October 9 and, resupplied by massive American arms shipments, stopped the Egyptians by October 14. หลังจากประสบความสำเร็จอาหรับเริ่มต้น IDF หยุดล่วงหน้าซีเรียโดย 9 ตุลาคมและ resupplied ใหญ่โดยการขนส่งอาวุธจากอเมริกาได้หยุดชาวอียิปต์โดย 14 ตุลาคม Gulf Arab countries responded by placing an embargo on oil shipments to the United States. ประเทศอ่าวอาหรับตอบสนองโดยการวางการห้ามส่งสินค้าการจัดส่งน้ำมันไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา After the IDF broke through Syrian lines in the Golan and surrounded the Egyptian Third Army in the Canal Zone, a cease-fire, brokered by the United States and the USSR, went into effect on October 24. หลังจาก IDF ทะลุเส้นซีเรียโกลานและล้อมรอบสามกองทัพอียิปต์ในเขตคลองหยุดยิงโดยนายหน้าสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตมีผลบังคับใช้วันที่ 24 ตุลาคม

In this war, Israel lost over 2,500 soldiers, and while combined Arab losses were greater, respect for Arab military capability was heightened.             ในสงครามครั้งนี้อิสราเอลที่หายไปกว่า 2,500 ทหารและในขณะที่ความเสียหายที่เกิดอาหรับรวมกันเป็นมากขึ้นความเคารพต่อความสามารถในการทหารอาหรับมีความคิดริเริ่ม A more active American role fostered a disengagement agreement between Egypt and Israel in 1975, the Camp David Accords of 1978, normalization of relations in 1979, and return of the Sinai to Egypt by 1982. บทบาทอเมริกันใช้งานมากขึ้นส่งเสริมข้อตกลงหลุดพ้นระหว่างอียิปต์และอิสราเอลในปี 1975 ที่แคมป์เดวิดตกลงจากปี 1978 บรรทัดฐานของความสัมพันธ์ในปี 1979 และการกลับมาของนายไปยังประเทศอียิปต์โดย 1982
In the summer of 1982, Israel warred against the Palestine Liberation Organization (PLO) in Lebanon, The PLO increased its political and military activity after the 1967 war, placing the problem of Palestinian refugees back on the international agenda. ในฤดูร้อนของปี 1982, อิสราเอลทำสงครามต่อสู้องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO) ในเลบานอน, PLO เพิ่มกิจกรรมทางการเมืองและการทหารของตนหลังจากที่สงคราม 1967 วางปัญหาของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์กลับในวาระการประชุมนานาชาติ After the Jordanian civil war in 1970, Lebanon became the PLO's principal base of operations and the scene of deadly IDF reprisals. หลังจากที่สงครามจอร์แดนพลเรือนในปี 1970, เลบานอนกลายเป็นฐานหลัก PLO ของการดำเนินงานและสถานที่เกิดเหตุตอบโต้ IDF ร้ายแรง In March 1978, after Palestinian commandos hijacked a bus inside Israel and thirty-four Israelis died in a shootout, Israel invaded southern Lebanon in a campaign that left 1,000 Palestinians and Lebanese dead and drove more than 100,000 Lebanese and Palestinians northward. ในเดือนมีนาคมปี 1978 หลังจากที่หน่วยคอมมานโดปาเลสไตน์จี้รถบัสภายในอิสราเอลและสามสิบสี่อิสราเอลเสียชีวิตในการยิง, อิสราเอลบุกใต้ของเลบานอนในแคมเปญที่เหลือ 1,000 ชาวปาเลสไตน์และเลบานอนตายและขับรถมากกว่า 100,000 เลบานอนและปาเลสไตน์ไปทางทิศเหนือ

        แม้ว่าคณะมนตรีความมั่นคงมติ 242 (November 1967) เรียกว่าสำหรับการรับรู้ร่วมกันของทุกรัฐในภูมิภาคและอิสราเอลถอนตัวจากดินแดนที่ถูกยึดครองประเทศอาหรับเขาไม่เต็มใจที่จะเจรจากับอิสราเอลหลังจากความพ่ายแพ้อย่างน่าอับอาย Hostilities continued in a war of attrition, particularly between Israel and Egypt during the early 1970s. สงครามยังคงอยู่ในสงครามแห่งการล้างผลาญโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างอิสราเอลและอียิปต์ในช่วงต้นปี 1970 Nasser's successor, Anwar Sadat, planned another war, not to destroy Israel?Western powers would not allow that?but to secure a more balanced treatment from the Americans. ตัวตายตัวแทนของนัส, อันวาร์ซาดัตวางแผนสงครามอีกไม่ได้ที่จะทำลายอิสราเอลมหาอำนาจตะวันตกจะไม่ยอมให้ว่า แต่เพื่อรักษาความปลอดภัยการรักษาสมดุลมากขึ้นจากชาวอเมริกัน On October 6, 1973. เมื่อ 6 ตุลาคม 1973 Egyptian and Syrian forces surprised the Israeli army in the Sinai and Golan Heights. กองกำลังอียิปต์และซีเรียแปลกใจที่กองทัพอิสราเอลในไซนายและสูงโกลาน After initial Arab successes, the IDF halted the Syrian advance by October 9 and, resupplied by massive American arms shipments, stopped the Egyptians by October 14. หลังจากประสบความสำเร็จอาหรับเริ่มต้น IDF หยุดล่วงหน้าซีเรียโดย 9 ตุลาคมและ resupplied ใหญ่โดยการขนส่งอาวุธจากอเมริกาได้หยุดชาวอียิปต์โดย 14 ตุลาคม Gulf Arab countries responded by placing an embargo on oil shipments to the United States. ประเทศอ่าวอาหรับตอบสนองโดยการวางการห้ามส่งสินค้าการจัดส่งน้ำมันไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา After the IDF broke through Syrian lines in the Golan and surrounded the Egyptian Third Army in the Canal Zone, a cease-fire, brokered by the United States and the USSR, went into effect on October 24. หลังจาก IDF ทะลุเส้นซีเรียโกลานและล้อมรอบสามกองทัพอียิปต์ในเขตคลองหยุดยิงโดยนายหน้าสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตมีผลบังคับใช้วันที่ 24 ตุลาคม

In this war, Israel lost over 2,500 soldiers, and while combined Arab losses were greater, respect for Arab military capability was heightened.             ในสงครามครั้งนี้อิสราเอลที่หายไปกว่า 2,500 ทหารและในขณะที่ความเสียหายที่เกิดอาหรับรวมกันเป็นมากขึ้นความเคารพต่อความสามารถในการทหารอาหรับมีความคิดริเริ่ม A more active American role fostered a disengagement agreement between Egypt and Israel in 1975, the Camp David Accords of 1978, normalization of relations in 1979, and return of the Sinai to Egypt by 1982. บทบาทอเมริกันใช้งานมากขึ้นส่งเสริมข้อตกลงหลุดพ้นระหว่างอียิปต์และอิสราเอลในปี 1975 ที่แคมป์เดวิดตกลงจากปี 1978 บรรทัดฐานของความสัมพันธ์ในปี 1979 และการกลับมาของนายไปยังประเทศอียิปต์โดย 1982
In the summer of 1982, Israel warred against the Palestine Liberation Organization (PLO) in Lebanon, The PLO increased its political and military activity after the 1967 war, placing the problem of Palestinian refugees back on the international agenda. ในฤดูร้อนของปี 1982, อิสราเอลทำสงครามต่อสู้องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO) ในเลบานอน, PLO เพิ่มกิจกรรมทางการเมืองและการทหารของตนหลังจากที่สงคราม 1967 วางปัญหาของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์กลับในวาระการประชุมนานาชาติ After the Jordanian civil war in 1970, Lebanon became the PLO's principal base of operations and the scene of deadly IDF reprisals. หลังจากที่สงครามจอร์แดนพลเรือนในปี 1970, เลบานอนกลายเป็นฐานหลัก PLO ของการดำเนินงานและสถานที่เกิดเหตุตอบโต้ IDF ร้ายแรง In March 1978, after Palestinian commandos hijacked a bus inside Israel and thirty-four Israelis died in a shootout, Israel invaded southern Lebanon in a campaign that left 1,000 Palestinians and Lebanese dead and drove more than 100,000 Lebanese and Palestinians northward. ในเดือนมีนาคมปี 1978 หลังจากที่หน่วยคอมมานโดปาเลสไตน์จี้รถบัสภายในอิสราเอลและสามสิบสี่อิสราเอลเสียชีวิตในการยิง, อิสราเอลบุกใต้ของเลบานอนในแคมเปญที่เหลือ 1,000 ชาวปาเลสไตน์และเลบานอนตายและขับรถมากกว่า 100,000 เลบานอนและปาเลสไตน์ไปทางทิศเหนือ

            กำไรทางการทูตในปี 1970 ชี้ให้เห็นความตั้งใจจริงของ PLO ที่จะยอมรับการแก้ปัญหาสองรัฐของความขัดแย้ง แต่การประนีประนอมบนดินแดนในฝั่งตะวันตกและไฮโกลานและเจรจาต่อรองกับ PLO ถูกต่อต้านจากรัฐบาลอิสราเอลของเมนาเริ่มต้น After intense fighting in the summer of 1981, both sides agreed to a cessation of cross-border hostilities, but Begin and his defense minister, Ariel Sharon, planned another invasion to destroy the PLO infrastructure in Lebanon. หลังจากการต่อสู้ที่รุนแรงในฤดูร้อนของปี 1981 ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะยุติของสงครามข้ามพรมแดน แต่เริ่มต้นและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการป้องกันเรียลชารอนของเขาวางแผนบุกอีกครั้งเพื่อทำลายโครงสร้างพื้นฐานของ PLO ในเลบานอน A June 3 assassination attempt on the Israeli ambassador to Britain by a radical Palestinian group opposed to PLO policy was followed by an Israeli air raid on Palestinian refugee camps in Beirut, leaving over 200 dead. ความพยายามลอบสังหาร 3 มิถุนายนเมื่อทูตอิสราเอลไปยังประเทศอังกฤษโดยกลุ่มปาเลสไตน์หัวรุนแรงตรงข้ามกับ PLO นโยบายตามมาด้วยการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลที่ค่ายผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในเบรุต, ออกจากกว่า 200 ตาย After the PLO shelled northern Israel in response, killing four people, Israel invaded Lebanon on June 6, devastating Palestinian population centers in the south and forcing a large exodus of Lebanese northward into Beirut. หลังจาก PLO ตะพาบทางตอนเหนือของอิสราเอลในการตอบสนองฆ่าสี่คน, อิสราเอลบุกเลบานอนเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนทำลายล้างศูนย์ประชากรปาเลสไตน์ในภาคใต้และบังคับให้อพยพใหญ่ของเลบานอนเหนือเข้าสู่เบรุต Israeli aircraft downed more than eighty Syrian airplanes and destroyed Syrian missile batteries, causing Syria to accept a ceasefire on June 11. เครื่องบินอิสราเอลกระดกแปดสิบกว่าเครื่องบินซีเรียและทำลายวิถีแบตเตอรี่ซีเรียทำให้ซีเรียที่จะยอมรับข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน The IDF was soon on the outskirts of West Beirut, which it beseiged for a two-month period with artillery and air attacks that killed several thousand civilians. IDF ไม่ช้าก็อยู่ที่ชานเมืองของกรุงเบรุตตะวันตกซึ่งมัน beseiged สำหรับระยะเวลาสองเดือนกับการโจมตีด้วยปืนใหญ่และอากาศที่ฆ่าพลเรือนหลายพัน Entrenched PLO fighters foiled an Israeli attempt to enter West Beirut in early August, and after a continuous Israeli aerial bombardment on August 12, President Reagan prevailed upon the Israeli government to halt the slaughter. นักรบ PLO ยึดที่มั่นสกัดกั้นความพยายามที่อิสราเอลจะเข้าสู่กรุงเบรุตตะวันตกในช่วงต้นเดือนสิงหาคมและหลังจากการโจมตีทางอากาศอย่างต่อเนื่องอิสราเอล 12 สิงหาคมประธานาธิบดีเรแกนเกลี้ยกล่อมรัฐบาลอิสราเอลจะหยุดการฆ่า The Americans then arranged an evacuation of nearly 12,000 PLO fighters and 2,500 Syrian soldiers in late August, overseen by a multinational force. ชาวอเมริกันแล้วจัดอพยพเกือบ 12,000 นักรบ PLO และ 2,500 ทหารซีเรียในช่วงปลายเดือนสิงหาคมดูแลโดยกองกำลังข้ามชาติ The assassination of the Lebanese president, Bashir Gemayel, on September 14 was followed by an Israeli occupation of West Beirut and the massacre of at least 2,400 Palestinians by Israel's Phalangist allies. การลอบสังหารของประธานาธิบดีเลบานอน, บาชีร์ Gemayel เมื่อวันที่ 14 กันยายนตามมาด้วยการยึดครองของอิสราเอลเบรุตตะวันตกและการสังหารหมู่อย่างน้อย 2,400 ชาวปาเลสไตน์โดยอิสราเอลพันธมิตร Phalangist

It is estimated that at least 85 percent of the 20,000 Lebanese and Palestinians killed in the June-August war, many by US-supplied cluster and phosphorus bombs, were civilians.        มันเป็นที่คาดว่าอย่างน้อยร้อยละ 85 จาก 20,000 เลบานอนและปาเลสไตน์ฆ่าตายในเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคมสงครามหลายกลุ่มโดยเราจัดและระเบิดฟอสฟอรัสเป็นพลเรือน Those who claim that Israel was justified in destroying PLO bases in Lebanon overlook the disproportionate number of civilian casualties, the fact that the PLO had ceased its cross-border raids and had shown willingness to accept a two-state solution, and that it was Israel's bombing of refugee camps that reopened hostilities. บรรดาผู้ที่อ้างว่าอิสราเอลได้รับการพิสูจน์ในการทำลายฐาน PLO ในเลบานอนมองข้ามเพียงพอกับจำนวนพลเรือนบาดเจ็บล้มตายจริงที่ว่า PLO ได้หยุดบุกข้ามพรมแดนและได้แสดงความเต็มใจที่จะยอมรับการแก้ปัญหาสองรัฐและว่ามันเป็นของอิสราเอล ระเบิดของค่ายผู้ลี้ภัยที่เปิดสงคราม Arguably, Israel's aggression failed not only the test of jus in bello but jus ad bellum, and despite its government's propaganda* about combatting terrorists, of all Israel's wars, this drew the most international and domestic criticism. เนื้อหาการรุกรานของอิสราเอลล้มเหลวไม่เพียง แต่การทดสอบของ Jus ใน bello แต่ Jus โฆษณา Bellum และแม้ * โฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลเกี่ยวกับการต่อต้านการก่อการร้ายของสงครามของอิสราเอลนี้เข้ามาติชมมากที่สุดในประเทศและในประเทศ Although the PLO's military presence in Lebanon was reduced, the IDF did not destroy the organization nor its political influence among Palestinians, and the continued occupation of southern Lebanon earned Israel enemies among Lebanon's Shiite population. แม้ว่าทหารของ PLO ในเลบานอนก็ลดลง, IDF ไม่ได้ทำลายองค์กรหรืออิทธิพลทางการเมืองในหมู่ชาวปาเลสไตน์และการประกอบอาชีพอย่างต่อเนื่องของภาคใต้ของเลบานอนได้รับศัตรูในหมู่ประชากรอิสราเอลไอท์ของเลบานอน

The Arab-Israeli conflict has been one of the more intractable problems throughout 20th- century politics, and as the 21st century gets underway, it continues to pose the greatest threat to world peace.              ความขัดแย้งอาหรับอิสราเอลได้รับหนึ่งในปัญหาที่ยากมากขึ้นทั่วการเมืองในศตวรรษที่ 20 และในขณะที่ในศตวรรษที่ 21 ได้รับความสัตย์ซื่อมันยังคงก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อสันติภาพของโลก While the five wars have occasionally prompted greater realism, none has solved the basic problems caused by the forceful establishment of a Jewish state in the middle of the Arab world. ในขณะที่ห้าสงครามได้รับการแจ้งเตือนเป็นครั้งคราวสมจริงมากขึ้นไม่ได้แก้ปัญหาพื้นฐานที่เกิดจากการจัดตั้งเข้มแข็งของรัฐยิวในช่วงกลางของโลกอาหรับ It is not surprising that the belligerents should resort to violence; indeed, British officers predicted in 1919 that the Zionist program could only succeed through the force of arms. มันไม่น่าแปลกใจที่คู่สงครามควรรีสอร์ทเพื่อความรุนแรง; จริงนายทหารอังกฤษที่คาดการณ์ไว้ใน 1919 ว่าโปรแกรมนิสม์จะสามารถประสบความสำเร็จผ่านแรงของแขน Some might view this as a legitimate, if regrettable, means of securing the Zionist ideal, but others see it as the inevitable outcome of usurping Arab territory at the expense of the Palestinians. บางคนอาจจะดูว่าถูกต้องตามกฎหมายถ้าน่าเศร้าหมายถึงการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสำหรับนิสม์ แต่คนอื่น ๆ เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงผลของ usurping ดินแดนอาหรับที่ค่าใช้จ่ายของชาวปาเลสไตน์ While a peaceful resolution of the conflict is a distinct possibility, deep-seated attachments to territory, past atrocities, and an explosive mix of determination and outrage make long-range predictions tenuous. ในขณะที่สันติของความขัดแย้งความเป็นไปได้ที่แตกต่างกันสิ่งที่แนบมาฝังลึกไปในดินแดนโหดที่ผ่านมาและการปะทุของความมุ่งมั่นและความชั่วร้ายทำให้การคาดการณ์ระยะยาวผอมบาง


เหตุการณ์แห่งการยึดครอง จากปี 1948-1982

          การยึดครองดินแดนของอิสราเอล เกิดขึ้นในสงครามใหญ่ 2 ครั้งด้วยกัน ได้แก่ สงครามยิว-อาหรับ (1948-1949) และสงครามสงคราม 6 วันปี 1967 นอกจากนี้ ยังมีสงครามอีก 2 ครั้งที่ควรกล่าวถึง รวมเป็นสงคราม 4 ครั้ง ได้แก่
                       (1) การสถาปนารัฐอิสราเอลปี 1948 และ สงครามยิว-อาหรับ (1948-1949) ในปลายเดือนพฤศจิกายน 1947 องค์การสหประชาชาติ เสนอให้แบ่งดินแดนปาเลสไตน์ออกเป็น 2 ส่วน มีพื้นที่เกือบเท่ากัน ส่วนหนึ่งเป็นรัฐอิสราเอลที่มีพื้นที่มากกว่าเล็กน้อย (ชาวยิวตอนนั้นมีประชากรราวร้อยละ 30 ของทั้งหมดที่อยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ เป็นเจ้าของพื้นที่ราวร้อยละ 6 แต่ได้ส่วนแบ่งพื้นที่ร้อยละ 55) ส่วนหนึ่งเป็นรัฐปาเลสไตน์ของอาหรับ ในปี 1947 นี้มีประชากรชาวยิวเพียง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด และชาวยิวเกือบทั้งหมดเพิ่งอพยพมาถึงเพียงสองสามปีมานี้เอง มีการต่อต้านแนวคิดนี้อย่างรุนแรงจากชาวอาหรับ และเกิดสงครามยิว-อาหรับขึ้น ผลแห่งสงครามทำให้อิสราเอลสามารถยึดครองดินแดนเพิ่มขึ้นอีกเป็นเกือบร้อยละ 80 ของทั้งหมด และมีการขับไล่ชาวปาเลสไตน์-อาหรับออกจากดินแดนจำนวนราว 750,000 คน มีหมู่บ้านอาหรับถูกทำลาย 531 หมู่บ้าน เมือง 11 เมือง  เกิดปัญหาผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน ชาวปาเลสไตน์ลี้ภัยเหล่านี้ไปพำนักที่ประเทศเลบานอน จอร์แดน ซีเรีย และประเทศอาหรับอื่น ปัจจุบันมีจำนวนรวมราว 3 ล้านคน
                           (2) สงคราม 6 วัน (ปี 1967) ที่จบลงอย่างรวดเร็วด้วยชัยชนะเด็ดขาดของอิสราเอล ถือได้ว่าเป็นการสิ้นสุดลัทธิรวมชาติอาหรับ (Pan-Arab) ด้วย อิสราเอลสามารถยึดครองร้อยละ 20 ของดินแดนที่เหลือในปาเลสไตน์ ได้แก่ ฉนวนกาซา เขตเวสต์แบงก์ นอกจากนี้ ยังยึดครองดินแดนของอียิปต์ ได้แก่ แหลมไซนาย และดินแดนของซีเรีย ได้แก่ ที่ราบสูงโกลานอีก ในสงคราม 6 วันนี้ประเมินกันว่ามีชาวปาเลสไตน์ถูกขับไล่และต้องลี้ภัยจากเขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซาราว 300,000 คนทำให้ปัญหาผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์หนักหน่วงขึ้น ขณะเดียวกัน เมื่อดินแดนของชาวปาเลสไตน์-อาหรับถูกยึดครองไปจนหมด ทำให้กลายเป็นแรงผลักดันให้ชาวปาเลสไตน์-อาหรับลุกขึ้นต่อต้านแข็งขัน องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (Palestinian Liberation Organization – PLO) เป็นศูนย์อำนาจของชาวปาเลสไตน์ในปี 1974  และแม้ว่าองค์การนี้จะไม่สามารถปลดปล่อยดินแดนปาเลสไตน์จากอิสราเอลได้ แต่ก็ทำให้การยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ของอิสราเอลกลายเป็นประเด็นสนใจของชาวโลก
                            (3) สงครามปี 1973 การโจมตีฉับพลันของอาหรับที่มีอียิปต์เป็นแกน พร้อมกับมีการใช้น้ำมันเป็นอาวุธครั้งแรกของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอาหรับ สงครามครั้งนี้ทั้งฝ่ายอาหรับและอิสราเอลอ้างว่าตนเป็นฝ่ายมีชัย ผลสำคัญของสงคราม ได้แก่ อียิปต์ทำสัญญาสงบศึก ได้รับแหลมไซนายคืน (ปี 1982) หันไปหาสหรัฐเป็นพันธมิตร เช่นเดียวกับจอร์แดน ทำให้การยึดครองดินแดนปาเลสไตน์สมบูรณ์
                         (4) สงครามเลบานอนครั้งที่ 1 (ปี 1982) อิสราเอลขยายปฏิบัติการของตนสู่เลบานอนอันเป็นที่ตั้งของศูนย์บัญชาการองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ โจมตีอิรัก พิพาทกับซีเรีย อำนาจการยึดครองขยายตัวออกไปอีก คุมน่านน้ำในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด คุมน่านฟ้า ผสานกับกองกำลังสหรัฐ ขณะที่การต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์ยังคงดำเนินต่อไปโดยการลุกขึ้นสู้ครั้งที่ 1

2) เขตยึดครอง
ในที่นี้จะแยกกล่าวเป็น 2 เขต คือเขตฉนวนกาซา และเขตเวสต์แบงก์-เยรูซาเล็มตะวันออก ดังนี้
        (1) ฉนวนกาซา
                 ก) พื้นที่ ประชากร และเมืองสำคัญ ฉนวนกาซาเป็นเขตอยู่ทางตะวันตกของทวีปเอเชียตอนใต้ ติดกับอียิปต์ที่อยู่ทางใต้ และอยู่บนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางด้านตะวันตก ทางด้านเหนือและตะวันออกติดกับอิสราเอล มีเนื้อที่ 378 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบทะเลทราย มีเนินทรายสลับ มีฝนเฉลี่ยปีละ 150-400 มม. พื้นที่เพาะปลูกราวร้อยละ 13 มีหมู่บ้านประมงตามชายฝั่ง มีประชากร (ปี 2006) 1,428,757 คน ความหนาแน่นเฉลี่ย 3,750 คนต่อตารางกิโลเมตร นับเป็นดินแดนที่มีอัตราการเติบโตและความหนาแน่นของประชากรสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก กว่าครึ่งหนึ่งของชาวกาซาอาศัยอยู่ในเมือง เมืองใหญ่ที่สุด ได้แก่ เมืองกาซา มีเมืองอื่น เช่น คาน ยูนุส (Khan Yunus) ประชากรเกือบทั้งหมดเป็นชาวอาหรับปาเลสไตน์ ส่วนใหญ่ถือนิกายซุนหนี่ ที่เหลือเล็กน้อยเป็นชาวคริสต์ ภาษาพูดหลักคือภาษาอาหรับ เพียงร้อยละ 40 ของประชากรเป็นคนท้องถิ่น ที่เหลือเป็นชาวอพยพอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยหรือที่อยู่อาศัยของผู้ลี้ภัย คนท้องถิ่นมีอิทธิพลสูงต่อการเมืองและเศรษฐกิจ อาชีพหลัก ได้แก่ การเกษตร การเลี้ยงสัตว์ พืชผลสำคัญ ได้แก่ ส้ม (ซึ่งส่งออกไปยังประเทศยุโรปบางประเทศ) ผัก และพืชไร่อื่น มีอุตสาหกรรมเบาเล็กน้อย เกือบทั้งหมดอยู่ที่เมืองกาซา นอกจากนี้ ยังมีท่าเรือประมงเล็กๆ ตามชายฝั่ง 
           ข) ลักษณะการยึดครองของอิสราเอล อิสราเอลได้เข้ายึดครองพื้นที่นี้ตั้งแต่สงคราม 6 วัน ปี 1967 เศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของชาวกาซาต้องขึ้นอยู่กับอิสราเอลเป็นสำคัญ โดยเป็นคู่ค้าหลัก ทุกวันประมาณว่าชาวกาซาร้อยละ 40 ต้องเดินทางไปทำงานในอิสราเอล รายได้จากคนงานเหล่านี้รวมกันแล้วเป็นถึงราว 1 ใน 3 ของจีดีพีรวม คนงานส่วนใหญ่เป็นผู้ชายและเด็กวัยรุ่นชาย สตรีทำงานบ้าน ในปี 1994 พื้นที่กาซาส่วนใหญ่กลายเป็นเขตปกครองตนเอง ภายใต้การบริหารขององค์การการปกครองแห่งชาติปาเลสไตน์ (Palestinian National Authority) และแม้จะมีการถอนการตั้งถิ่นฐานชาวยิวในฉนวนกาซาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2005 แต่ในทางปฏิบัติดินแดนกาซาก็ยังคงตกอยู่ในการยึดครองของอิสราเอง โดยทางการอิสราเอลได้ควบคุมด่านทั้ง 6 ควบคุมน่านฟ้า ควบคุมน่านน้ำ ควบคุมการขนส่งสินค้า ควบคุมการขนส่งคน และสร้างกำแพงปิดล้อม
                    ค) ปฏิบัติการของอิสราเอล ในระยะปี 2006
                                  (ก) ทางทหาร โดยข้ออ้างเพื่อปลดปล่อยทหารยศสิบโทคนหนึ่ง ทางการอิสราเอลได้เปิดฉากปฏิบัติการทางทหาร 2 ละลอก ได้แก่ ปฏิบัติการฝนฤดูร้อน (มิถุนายน 2006) และปฏิบัติการเมฆฤดูใบไม้ร่วง (พฤศจิกายน 2006) ยังผลให้ชาวปาเลสไตน์กว่า 400 คนถูกสังหาร และราว 1,500 คนได้รับบาดเจ็บ กว่าครึ่งของผู้ที่ตายและบาดเจ็บเป็นพลเรือน ที่ตายเป็นเด็กถึงราว 90 คน และเด็กกว่า 300 คนได้รับบาดเจ็บ ในช่วงเวลาระหว่างปฏิบัติการดังกล่าว มีทหารอิสราเอลเสียชีวิต 3 นาย ได้รับบาดเจ็บ 18 นาย มีพลเรือนอิสราเอลเสียชีวิต 2 คนได้รับบาดเจ็บ 30 คนจากจรวดทำเองที่ยิงเข้าไปจากกาซา ในปฏิบัติการต่อเนื่องดังกล่าว อิสราเอลได้ส่งทหารบุกเข้าไปในส่วนต่างๆ ของฉนวนกาซาถึง 364 ครั้ง ตามด้วยการยิงปืนใหญ่อย่างต่อเนื่อง และการโจมตีด้วยขีปนาวุธ จรวด กระสุนปืนใหญ่ และรถถังได้ทำลายหรือก่อความเสียหายแก่อาคารบ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล สุเหร่า สิ่งก่อสร้างสาธารณะ สะพาน ท่อประปา และท่อระบายน้ำโสโครก ในวันที่ 27 มิถุนายน 2006 เครื่องบินรบอิสราเอลยังทำลายโรงไฟฟ้าที่มีอยู่แห่งเดียวในฉนวนกาซา โรงไฟฟ้านี้สนองไฟราวร้อยละ 43 ของการใช้ไฟฟ้าในดินแดนนี้ในแต่ละวัน ยังผลให้ประชากรราวครึ่งหนึ่งในฉนวนกาซา ไม่มีไฟฟ้าใช้อยู่หลายเดือน นอกจากนี้ รถถังยังได้ทำลายสวนส้มและพื้นที่การเกษตรในฉนวนกาซาด้วย
ทางการอิสราเอลให้เหตุผลของการปฏิบัติการว่ามี 3 ประการได้แก่ 1) การค้นหาสิบโทชาลิตที่กลุ่มปฏิบัติการปาเลสไตน์จับเป็นเชลย 2) ทำลายกลุ่มติดอาวุธและยุทธปัจจัยปาเลสไตน์ 3) หยุดการยิงจรวดจากตอนเหนือของฉนวนกาซาเข้าไปยังที่อยู่อาศัยของชาวยิวในตอนใต้ เมืองที่ถูกอิสราเอลโจมตีมากที่สุด ได้แก่ เมืองเบท ฮาโนน (Beit Hanoun) ซึ่งอยู่ตอนเหนือของฉนวนกาซา มีประชากรราว 4 หมื่นคน ในการโจมตีครั้งหนึ่งกระสุนปืนใหญ่ตกใส่บ้านหลังหนึ่งที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 19 คน บาดเจ็บ 55 คน ผู้ที่เสียชีวิตทั้งหมดเป็นพลเรือน 7 คน เป็นสตรี 8 คน เป็นเด็ก 4 คน อิสราเอลกล่าวว่าเป็นความผิดพลาดทางเทคนิค และขัดขวางไม่ให้คณะตรวจสอบสากลรวมทั้งคณะกรรมาธิการจากสภาสิทธิมนุษยชนองค์การสหประชาชาติ เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน มีผู้ชี้ว่าการตอบโต้ของอิสราเอลนั้นรุนแรงกว่าการยิงจรวดทำเองเข้าไปในหมู่บ้านชาวยิวมาก เป็นอาชญากรรมสงครามควบซ้อน (Multiple War Crimes)
                                 (ข) การปิดล้อมทางเศรษฐกิจโดยอิสราเอลและพันธมิตรตะวันตก กระทำโดย
                                                    - การควบคุมหรือการปิดด่านสำคัญ ได้แก่ ด่านราฟาห์ (Rafah) ซึ่งเปิดให้ชาวกาซาเดินทางไปอียิปต์ ตามข้อตกลงเดือนพฤศจิกายน 2005 ยินยอมให้ชาวกาซาเดินทางอย่างเสรีได้ ซึ่งทำให้ปริมาณการค้าเพิ่มขึ้นมาก แต่นับตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน อิสราเอลอนุญาตให้เปิดทำการได้เพียงร้อยละ 14 ของเวลาที่กำหนด ทำให้คนป่วยและคนงานที่จะเดินทางไปมาระหว่างกันต้องรอเวลาให้ด่านเปิดบางทีเป็นสัปดาห์ จึงจะเดินทางได้ นอกจากนี้ ยังมีด่านการ์นี (Karni) ซึ่งเป็นด่านสำคัญทางการค้าสำหรับสินค้าเข้าและสินค้าออก ระหว่างอียิปต์กับกาซา ตามข้อตกลงข้างต้นกำหนดว่าในสิ้นปี 2006 จะมีรถบรรทุกสินค้าผ่านเพิ่มเป็น 400 คันต่อวัน แต่ในเดือนมิถุนายน 2006 ทางการอิสราเอลได้ปิดด่านนี้อนุญาตให้ทำการได้เพียงร้อยละ 39 ของวันที่กำหนดเปิด เป็นผลให้มีรถบรรทุกผ่านเฉลี่ยวันละเพียง 12 คัน ซึ่งทำลายเศรษฐกิจในเขตกาซาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผลิตผลทางการเกษตร ในเดือนธันวาคม ทางการอิสราเอลประกาศจะยอมให้รถบรรทุกผ่านเฉลี่ยวันละ 400 คัน แต่จนถึงเดือนมกราคม 2007 ก็ยังไม่ได้ปฏิบัติตาม
                                               - การยึดเงินของรัฐบาลปาเลสไตน์ ทางการอิสราเอลได้ยึดเงินกองทุนของปาเลสไตน์ ซึ่งตกประมาณเดือนละ 50-60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ทางสหภาพยุโรปและสหรัฐยังไม่ยอมส่งเงินช่วยเหลือให้

           การปิดล้อมทางเศรษฐกิจ มีผลอย่างสูงต่อชีวิตความเป็นอยู่ และได้ก่อความเดือดร้อนและความแร้นแค้นแสนสาหัสแก่ชาวกาซา การจ้างงานลดฮวบ นั่นคือคนงานก่อสร้างจำนวนมากต้องว่างงานเนื่องจากมีการจำกัดการนำเข้าวัสดุก่อสร้าง เกษตรกรว่างงานเนื่องจากไม่สามารถส่งออกสินค้าเกษตร ชาวประมงว่างงานเนื่องจากถูกห้ามไม่ให้ทำประมงชายฝั่ง ร้านค้าต้องปิดตัว เนื่องจากขาดอำนาจซื้อ โรงงานขนาดเล็กที่จ้างคนงานราว 25,000 ก็ต้องปิดตัว โดยรวมราวร้อยละ 70 ของแรงงานกาซาต้องว่างงานหรือทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง เช่นคนงานของรัฐ แม้ว่ายังคงถูกจ้าง แต่ก็ไม่ได้รับเงินเดือนต่อเนื่องกัน จากการว่างงาน อัตราความยากจนก็พุ่งสูงลิ่ว กว่าร้อยละ 80 ของชาวกาซาดำรงชีพอยู่ใต้เส้นความยากจนที่ทางการกำหนดซึ่งตกวันละ 2.10 ดอลลาร์สหรัฐ ชาวกาซา 1.1 ล้านคนจากจำนวนทั้งสิ้น 1.4 ล้านคนยังชีพด้วยการรับอาหารจากความช่วยเหลือของ องค์การบรรเทาทุกข์และงานสาธารณะ องค์การสหประชาชาติ  

          มีการประเมินทางกฎหมายว่า ทางการอิสราเอลได้ละเมิดสิทธิมนุษย์ตามที่ประกาศในกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเรือนและการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) โดยเฉพาะสิทธิในชีวิต (มาตรา 6) สิทธิจากการถูกทรมาน และการปฏิบัติต่อแบบไม่ใช่มนุษย์และต่ำช้า (มาตรา 7) สิทธิจากการจับกุมและกักขังตามอำเภอใจ (มาตรา 9) เสรีภาพในการเคลื่อนย้าย (มาตรา 12) สิทธิของเด็กในการได้รับความคุ้มครอง นอกจากนั้น ทางการอิสราเอลยังได้ละเมิดสิทธิที่ระบุไว้ในกติกาสากลว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights) ที่สำคัญได้แก่ สิทธิของทุกคนที่จะมีมาตรฐานการครองชีพที่พอเพียงสำหรับตนเองและครอบครัว รวมทั้งการมีอาหาร เครื่องนุ่งห่มและที่อยู่อาศัยอย่างพอเพียง”, เสรีภาพจากความหิวโหย และสิทธิต่ออาหาร (มาตรา 11) และสิทธิต่อสุขภาพ (มาตรา 12)
สรุปความได้ว่าการจับกุมสิบโทชาลิตและการใช้จรวดโจมตีหมู่บ้านชาวยิวเป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันจะถูกใช้เป็นข้ออ้างในการลงโทษประชาชนชาวกาซาทั้งหมดอย่างรุนแรง อย่างที่ทางการอิสราเอลปฏิบัติไม่ได้เช่นกัน

             (2) เขตเวสต์แบงก์ (รวมทั้งเยรูซาเล็มตะวันออก)
                               ก) พื้นที่และประชากร เขตเวสต์แบงก์มีพื้นที่ราว 5,860 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางด้านตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน มีประชากรราว 2.2 ล้านคน ร้อยละ 87 เป็นชาวปาเลสไตน์ถือนิกายซุนหนี่  ร้อยละ 8 เป็นชาวปาเลสไตน์ถือศาสนาคริสต์ และร้อยละ 5 เป็นชาวอิสราเอลเข้ามาตั้งถิ่นฐาน (บางแห่งให้ตัวเลขชาวยิวตั้งถิ่นฐานในเขตเวสต์แบงก์จำนวน 187,000 คน และในเยรูซาเล็มตะวันออกเกือบ 177,000 คน)เมืองใหญ่ที่มีประชากรเกิน 1 แสนคนได้แก่ เยรูซาเล็มตะวันออก รามอัลเลาะห์ เฮบรอน เนบลัส และเบธเลเฮ็ม (บ้างว่ามีประชากรราว 6 หมื่นคน) เขตเวสต์แบงก์ มีมหาวิทยาลัย 2 แห่ง แห่งหนึ่งอยู่ที่ เมืองเบธเลเฮ็ม  อีกแห่งอยู่ที่เมืองเฮบรอน  เศรษฐกิจในเขตเวสต์แบงก์ดีกว่าที่ฉนวนกาซา รายได้ต่อหัวต่อปีในเขตเวสต์แบงก์ราว 1,072 ดอลลาร์สหรัฐ ในเขตฉนวนกาซาเพียง 722 ดอลลาร์  
ข) การยึดครองของอิสราเอล เริ่มตั้งแต่ปี 1967 และได้มีปฏิบัติการหลายประการที่น่าจะเป็นการละเมิดสิทธิชาวปาเลสไตน์ เป็นต้นว่า
               (1) การสร้างกำแพง ทางการอิสราเอลได้สร้างกำแพงยาวในเขตเวสต์แบงก์ในปี 2002 โดยอ้างเรื่องความมั่นคง ตามแผนกำแพงจะยาวกว่า 700 กิโลเมตร ศาลยุติธรรมสากลได้ตัดสินให้คำชี้แนะเมื่อเดือนกรกฎาคม 2004 ว่าการสร้างกำแพงของทางการอิสราเอลขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้ทางการอิสราเอลยุติการสร้างและรื้อถอนกำแพงที่สร้างไว้แล้ว แต่ศาลสูงสุดอิสราเอลตัดสินในปี 2005 ชี้ว่าการตัดสินของศาลยุติธรรมสากลมองข้ามปัญหาความมั่นคงของอิสราเอล จนต้องสร้างกำแพงขึ้น อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นทางรัฐบาลอิสราเอลได้ยอมรับว่าการก่อสร้างกำแพงนั้นมีจุดประสงค์เพื่อได้ดินแดนบริเวณที่ตั้งถิ่นฐานชาวยิวด้วย ไม่ใช่แต่เรื่องการป้องกันตัว ทำให้ศาลสูงสุดตำหนิรัฐบาลว่านำข้อมูลมาให้ศาลเข้าใจผิด และข้อเท็จจริงที่ว่าร้อยละ 76 ของผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์ จะอยู่ภายในกำแพงนี้ก็เป็นสิ่งยืนยันได้ สำหรับกำแพงในเยรูซาเล็มตะวันออกนั้นจะผ่ากลางชุมชนชาวปาเลสไตน์ ซึ่งกระทบต่อสิทธิมนุษยชนชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ที่นั่นราว 230,000 อย่างรุนแรง 
                    (2) จุดตรวจและเครื่องกั้นถนน การสร้างจุดตรวจและเครื่องกั้นถนนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 376 จุดในเดือนสิงหาคม 2005 เป็น 540 จุดในเดือนธันวาคม 2006 จุดตรวจเหล่านี้ได้แบ่งเขตเวสต์แบงก์ออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนเหนือ (เมืองเนบลัส เจนิน และตุลกาเร็ม) ส่วนกลาง (เมืองรามอัลเลาะห์) ส่วนใต้ (เมืองเฮบรอน) และเยรูซาเล็มตะวันออก ภายในส่วนเหล่านี้ยังมีการตั้งระบบจุดตรวจเพื่อแบ่งซอยพื้นที่ขึ้นอีก นอกจากนี้ ทางหลวงที่ชาวอิสราเท่านั้นที่ใช้ได้ ยังแบ่งดินแดนยึดครองปาเลสไตน์ออกเป็น 10 เขตเล็กๆ เมืองต่างๆ ถูกตัดขาด โดยการจะเดินทางระหว่างกันต้องได้รับอนุญาต ซึ่งได้ยากมาก กฎเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามอำเภอใจของเจ้าหน้าที่ เช่นมีครั้งหนึ่งที่ห้ามชาวปาเลสไตน์เดินทางไปกับชาวอิสราเอลในรถของชาวอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์นอกจากได้รับอนุญาต นอกจากนี้ ชาวปาเลสไตน์ต้องใช้ถนนชั้นสองที่มีมาตรฐานต่ำกว่าที่ชาวอิสราเอลใช้
                  (3) การจับกุมคุมขัง มีนักโทษปาเลสไตน์ราว 9 พันคนในคุกอิสราเอล ในข้อหาหรือถูกตัดสินว่าทำลายความมั่นคง ซึ่งมีทั้งการก่อความรุนแรงและการเคลื่อนไหวทางการเมือง นับตั้งแต่ปี 1967 มีชาวปาเลสไตน์กว่า 650,000 คน ถูกขังในคุกของอิสราเอล
             (4) การปฏิบัติการทางทหารถี่ขึ้นในปี 2006 หลังการชัยชนะของกลุ่มฮามาสในการเลือกตั้งเดือนมกราคม 2006 กองกำลังอิสราเอลได้เพิ่มปฏิบัติถี่ขึ้นมาก ในเดือนพฤศจิกายน 2006 เดือนเดียว กองกำลังอิสราเอลได้บุกโจมตีเขตเวสต์แบงก์ถึง 656 ครั้ง การบุกโจมตีเหล่านี้ทำให้ชาวปาเลสไตน์ต้องเสียชีวิตราว 150 คน และบาดเจ็บเฉลี่ยเดือนละ 179 คน นอกจากนี้ทางการอิสราเอลยังมีปฏิบัติการกำหนดเป้าลอบสังหาร (Targeted Assassinations) ซึ่งกระทำอย่างกว้างขวางหลังการลุกขึ้นสู้ของชาวปาเลสไตน์ครั้งที่ 2 ในปี 2000 ประมาณว่ามีผู้ถูกลอบสังหารทั้งสิ้นราว 500 คน ในจำนวนนี้มีพลเรือนที่บริสุทธิ์ 168 คน
 
      สถานการณ์ในเขตยึดครองของอิสราเอลในปัจจุบัน กล่าวได้ว่าตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และทางจิตใจ ในทางเศรษฐกิจคนจำนวนมากดำเนินชีวิตต่ำกว่าขีดความยากจน การคลังของประเทศต้องอาศัยเงินช่วยเหลือจากภายนอก ในทางสังคมประชากรจำนวนมากอาศัยอยู่ในค่ายหรือบ้านลี้ภัย ในทางการเมืองมองไม่เห็นทางออกสู่สันติภาพ ในหมู่ชาวปาเลสไตน์ก็แตกแยกกัน บ้านเมืองถูกยึดครองโดยอิสราเอลในทางปฏิบัติ ในทางจิตใจ เกิดความหวั่นวิตก ขาดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สถานการณ์เช่นนี้ดำรงอยู่นานเกินไป ถ้าหากไม่แก้ไข สภาพสิ้นหวังนี้จะกระจายต่อไปทั่วภูมิภาค การหาหนทางสันติภาพที่ถาวรเท่านั้นจึงเป็นการแก้ปัญหาวิกฤตอิสราเอล-ปาเลสไตน์อย่างจริงจัง


บุคคลที่เกี่ยวข้อง

      1.Ahmad Ismāʿ IL, (เกิด 1917, ไคโร , อียิปต์ เสียชีวิต 25 ธันวาคม 1974, ลอนดอน, อังกฤษ), จอมพลอียิปต์ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอียิปต์และผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมื่อเขาวางแผนโจมตีข้าม คลองสุเอซ ที่แปลกใจอิสราเอลที่ 6 ตุลาคม 1973 และเริ่ม ถือศีลสงคราม (ดู สงครามอาหรับอิสราเอล )
Ismāʿīl graduated from the Cairo Military Academy in 1938, saw service with the Allies in the Western Desert during World War II (1939–45), and fought as a brigade commander in the first Arab-Israeli war (1948–49).             จบการศึกษาจากสถาบันการทหารไคโรในปี 1938 เห็นบริการกับพันธมิตรในทะเลทรายตะวันตกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (1939-1945) และต่อสู้ในฐานะผู้บัญชาการกองพลทหารในสงครามอาหรับอิสราเอลแรก (1948-1949) He later trained in Britain, fought the Franco-British-Israeli forces during the Suez operation of 1956, undertook further training in the Soviet Union, and was a divisional commander in the Six-Day War of 1967. เขาได้รับการฝึกฝนต่อไปในอังกฤษต่อสู้กับกองกำลังฝรั่งเศสอังกฤษอิสราเอลในระหว่างการดำเนินคลองสุเอซของปี 1956 มารับการฝึกอบรมเพิ่มเติมในสหภาพโซเวียตและเป็นผู้บัญชาการกองพลใน สงครามหกวัน ของ 1967 He was made chief of state in March 1969 but was dismissed by President Gamal Abdel Nasser in September as a scapegoat for successful Israeli raids. เขาเป็นหัวหน้าของรัฐมีนาคม 1969 แต่ถูกไล่ออกจากประธานาธิบดี กามาลอับเดลนัส ในเดือนกันยายนเป็นแพะรับบาปสำหรับการบุกอิสราเอลประสบความสำเร็จ New president Anwar el-Sādāt , however, named him chief of intelligence in September 1970. ประธานาธิบดีคนใหม่ อันวาร์ซาดัตเอล แต่ชื่อของเขาเป็นหัวหน้าของหน่วยสืบราชการลับในกันยายน 1970 In October 1972 he accompanied Prime Minister ʿAzīz idqī on a visit to Moscow and on his return stifled a coup against the president. ในตุลาคม 1972 เขากับนายกรัฐมนตรี ʿAzīz Sidqi ที่ไปเยือนกรุงมอสโกและเมื่อเขากลับกลั้นต่อต้านรัฐประหารประธาน That same month he replaced the anti-Soviet general Muammad Ṣādiq as minister of defense and commander in chief and was promoted to full general. ในเดือนเดียวกันนั้นแทนที่เขาต่อต้านโซเวียตทั่วไปMuammad Sadiq เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารสูงสุดและได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นนายพล His skill as a strategist and his success in reviving the morale of the Egyptian army became evident in the October 1973 war. ทักษะของเขาในฐานะนักยุทธศาสตร์และความสำเร็จของเขาในการฟื้นฟูขวัญและกำลังใจของกองทัพอียิปต์ก็เห็นได้ชัดในตุลาคม 1973 สงคราม Ismāʿīl was made a field marshal in November 1973. Ismāʿอิลลินอยส์ถูกทำให้จอมพลในพฤศจิกายน 1973
           2.ไคม์ Herzog, (เกิด 17 กันยายน 1918, เบลฟัสต์ , ไอร์แลนด์ [ขณะนี้อยู่ในไอร์แลนด์เหนือ] เสียชีวิต 17 เมษายน 1997, Tel Aviv-Yafo, อิสราเอล), ไอริชเกิดนักการเมืองอิสราเอล, ทหาร, ทนายความนักเขียนและ He was an eloquent and passionate spokesman for the Zionist cause and was instrumental in the development of Israel, both as a soldier and as the country's longest-serving president (1983–93). เขาเป็นโฆษกฝีปากและหลงใหลสำหรับสาเหตุที่นิสม์และเป็นเครื่องมือในการพัฒนาของอิสราเอลเป็นทั้งทหารและในฐานะประธานที่ยาวที่สุดในการให้บริการของประเทศ (1983-1993)
·                  ImagesThe son of Rabbi Isaac Halevi Herzog , Chaim grew up in Dublin before immigrating with his family to Palestine in 1935.ลูกชายของรับบี ไอแซก Halevi Herzog ไคม์เติบโตขึ้นมาใน ดับลิน ก่อนที่จะอพยพกับครอบครัวของเขา ปาเลสไตน์ ในปี 1935 The following year he joined the Haganah , the pre-Israel Jewish defense forces. ปีต่อไปนี้เขาได้เข้าร่วม Haganah , pre-ยิวอิสราเอลกองกำลังป้องกัน Herzog later returned to Britain, studying law at the University of London, and served in the British army during World War II . Herzog หลังจากนั้นจะกลับไปยังประเทศอังกฤษ, เรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยลอนดอนและทำหน้าที่ในบริติช กองทัพ ในช่วง สงครามโลกครั้งที่สอง . In 1947 he rejoined the Haganah , and with the formation of Israel in 1948, Herzog fought against neighbouring Arab countries in the first Arab-Israeli war and was named head of the country's military intelligence , a position he held until 1950 and again from 1959 to 1962. ในปี 1947 เขากลับมา Haganah และมีการก่อตัวของอิสราเอลในปี 1948, Herzog ต่อสู้กับประเทศเพื่อนบ้านอาหรับเป็นครั้งแรกใน สงครามอาหรับอิสราเอล และเป็นชื่อหัวหน้าทหารของประเทศที่ หน่วยสืบราชการลับ ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งจนถึงปี 1950 และอีกครั้งจาก 1959 1962 He rose to the rank of major general before retiring from the army in 1962 to practice law and pursue business ventures. เขาลุกขึ้นไปที่ระดับหลัก ทั่วไป ก่อนจะเกษียณจากกองทัพในปี 1962 ที่จะปฏิบัติตามกฎหมายและดำเนินกิจการธุรกิจ With a series of radio broadcasts during the Arab-Israeli Six-Day War (1967), Herzog became one of the country's foremost political and military commentators, and he was appointed the first military governor of the West Bank after its capture during that conflict. ด้วยชุดของการออกอากาศทางวิทยุระหว่างอาหรับอิสราเอล สงครามหกวัน (1967), Herzog กลายเป็นหนึ่งในการแสดงความเห็นที่สำคัญทางการเมืองและการทหารของประเทศและเขาได้รับการแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดครั้งแรกที่ทหารของ ฝั่งตะวันตก หลังจากการจับกุมในช่วงความขัดแย้งที่ As ambassador to the United Nations (1975–78), he drew international attention for his passionate, though unsuccessful, campaign to defeat the resolution that equated Zionism with racism. ในฐานะที่เป็น ทูต ไปยังสหประชาชาติ (1975-1978) เขาดึงความสนใจของต่างประเทศสำหรับความรักของเขารณรงค์ไม่ประสบความสำเร็จแม้ว่าจะเอาชนะความละเอียดที่บรรจุ Zionism กับชนชาติ
In 1981, as a member of the Israel Labour Party , Herzog was elected to the Knesset (parliament).                ในปี 1981 เป็นสมาชิกของ พรรคแรงงานอิสราเอล , Herzog ได้รับเลือกให้ Knesset (รัฐสภา) Two years later he was nominated for president, a largely ceremonial post. สองปีต่อมาเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีโพสต์พระราชพิธีส่วนใหญ่ Although the rival Likud Party controlled the Knesset, Herzog's widespread popularity led to his narrow victory. แม้ว่าคู่แข่ง Likud พรรค ควบคุม Knesset, ความนิยมอย่างแพร่หลาย Herzog นำไปสู่ชัยชนะของเขา Once in office , he increased the role of the president. ครั้งหนึ่งใน สำนักงานของ เขาเพิ่มขึ้นบทบาทของประธาน Herzog traveled abroad and spoke before numerous foreign governments, improving Israel's international image. Herzog เดินทางไปต่างประเทศและพูดก่อนที่รัฐบาลต่างประเทศจำนวนมากในการปรับปรุงภาพระหว่างประเทศของอิสราเอล He stressed tolerance, supporting greater rights for the Druze and other Arabs, and was an outspoken critic of the country's electoral system. เขาเน้นความอดทนที่สนับสนุนสิทธิมนุษยชนมากขึ้นสำหรับ Druze อาหรับและอื่น ๆ และเป็นนักวิจารณ์ปากกล้าของระบบการเลือกตั้งของประเทศ In 1988 he ran unopposed in his bid for reelection, winning a second term, the maximum allowed under Israeli law. ในปี 1988 เขาวิ่งค้านในการเสนอราคาของเขาสำหรับการเลือกตั้งชนะในระยะที่สอง, สูงสุดที่อนุญาตภายใต้กฎหมายของอิสราเอล A noted author, Herzog wrote extensively on Israeli history. ผู้เขียนสังเกต Herzog เขียนครอบคลุมในประวัติศาสตร์อิสราเอล His autobiography, Living History: A Memoir , was published in 1996. อัตชีวประวัติของประวัติชีวิตของเขา: ไดอารี่ถูกตีพิมพ์ในปี 1996 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น